2554-06-27

สรุปบทที่2

 ระบบสารสนเทศ
 
ความหมายของระบบสารสนเทศแบ่งได้ดังนี้
1. ระบบ   พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้นิยามไว้ว่า  ระบบ หมายถึง กลุ่มของสิ่งซึ่งมีลักษณะประสานเข้าเป็นสิ่งเดียวกัน
                Stair and  Reynolds ได้ให้นิยามไว้ว่า ระบบหมายถึง ชุดของส่วนประกอบหรือส่วนย่อยซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ อีกทั้งใช้กำหนดวิธีการทำงานของระบบในส่วนของรับเข้า(Input) ประมวลผล (Processing) ส่งออก (Output) รวมทั้งผลป้อนกลับ (Feedback)
2. ระบบสารสนเทศ
                Hall (2004, p.7) ให้นิยามไว้ว่า ระบบสารสนเทศ หมายถึง เซตหรือการรวมตัวของกระบวนการหลายกระบวนการ สำหรับงานด้านการเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผลเพื่อปรับรูปแบบของข้อมูลให้เข้าสู่รูปแบบของสารสนเทศ ตลอดจนการกระจายสารสนเทศที่เป็นผลลัพธ์จากการประมวลผลสู่ผู้ใช้
                Stair and Reynolds (2006, p. 17) ให้นิยามไว้ว่า ระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผล ประกอบด้วยชุดของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ฐานข้อมูล โทรคมนาคม บุคลากรและกระบวนการ ที่มีการรวมตัวกันเพื่อการเก็บรวบรวม การจัดการ การจัดเก็บตลอดจนการประมวลผลข้อมูลให้เข้าสู่รูปแบบของสารสนเทศ
แบบจำลองระบบสารสนเทศ
                Hall (2004, p. 7) ได้กำหนดแบบจำลองระบบสารสนเทศที่ประกอบด้วยส่วนย่อยของแบบจำลองระบบสารสนเทศ 7 ส่วนดังนี้
1. ผู้ใช้ขั้นปลาย คือ ผู้ใช้สารสนเทศที่อยู่ภายในหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกธุรกิจ ซึ่งความต้องการใช้สารสนเทศที่เป็นผลลัพธ์จากการประมวลผลของระบบสารสนเทศประกอบด้วยผู้ใช้ 2 กลุ่มคือ
                กลุ่มที่ 1 ผู้ใช้ภายนอก คือ ผู้ใช้ที่ประกอบ เจ้าหนี้เงินกู้ ผู้ถือหุ้น นักลงทุน ตัวแทนหรือนายหน้าเจ้าหน้าที่ภาษีอากร ผู้ขายและลูกค้า ตลอดจนผู้ใช้ประเภทสถาบันการเงิน
                กลุ่มที่ 2 ผู้ใช้ภายใน คือ ผู้บริหารระดับต่าง ๆ ขององค์การ ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลการปฎิบัติการด้านต่างๆ โดยมุ่งเน้นถึงความต้องการสารสนเทศของผู้ใช้แต่ละรายเป็นสำคัญ
2. ต้นทางข้อมูลหรือแหล่งข้อมูล คือ ธุรกรรมทางเงินที่นำเข้าสู่ระบบสารสนเทศประกอบด้วยข้อมูล 2 ส่วนดังนี้
                ส่วนที่ 1 ต้นทางข้อมูลภายนอก คือ ธุรกรรมทางการเงินที่ได้รับจากภายนอกธุรกิจ รวมทั้งข้อมูลการแลกเปลี่ยนทางการค้ากับหน่วยธุรกิจที่อยู่ในรูปแบบองค์การหรือธุรกิจส่วนตัว
                ส่วนที่ 2 ต้นทางข้อมูลภายใน คือ ธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยน หรือความเคลื่อนไหวของทรัพยากรภายในองค์การ
3.การรวบรวมข้อมูล  เป็นขั้นตอนแรกที่มีความสำคัญที่สุดของการดำเนินการภายในระบบสารสนเทศ เน้นวัตถุประสงค์ด้านการรับข้อมูลหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้เข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง สมเหตุสมผล ครบถ้วนสมบูรณ์ และปราศจากข้อผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น โดยมีการสร้างระบบป้องกันความผิดพลาดจากการรับข้อมูลเข้าส่งผลให้รายงานที่เป็นผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือและนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
4. การประมวลผลข้อมูล  หลังจากที่ทำการรวบรวมข้อมูลเสร็จสิ้นแล้วต้องทำการประมวลผลข้อมูลในรูปแบบที่ง่ายและรูปแบบที่มีความซับซ้อน โดยจำแนกการประมวลได้ 2 รูปแบดังนี้
                รูปแบบที่ 1 การประมวลผลแบบกลุ่มโดยเก็บรวบรวมเอกสารหรือรายการค้าเป็นกลุ่มก้อนภายในระยะเวลาที่กำหนดหลังจากนั้นจึงรับข้อมูลเข้าและปรับยอดแฟ้มข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน มักใช้วิธีการประมวลผลข้อมูลแบบนี้กับรายการที่ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงข้อมูลทันที
                รูปแบบที่ 2 การประมวลผลแบบทันทีโดยมีการรับข้อมูลเข้าในทันทีและทำการประมวลผลข้อมูลทันทีในทุกครั้งที่มีรายการค้าเกิดขึ้น ในบางครั้งอาจจะมีการประมวลผลออนไลน์เพื่อช่วยให้ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
5. การจัดการฐานข้อมูล คือ หน่วยเก็บข้อมูลทางกายภาพสำหรับข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับการเงิน อาจถูกจัดเก็บข้อมูลภายในตู้เอกสารหรือในแผ่นจานแม่เหล็ก ส่วนข้อมูลที่ถูกจัดเก็บในฐานข้อมูล ประกอบด้วยหน่วยเก็บข้อมูลที่เรียงลำดับจากหน่วยเล็กที่สุดไปหาหน่วยใหญ่ที่สุด คือ ลักษณะประจำ ระเบียน และแฟ้มข้อมูล ในส่วนการจัดการฐานข้อมูลจะเกี่ยวข้องกับงานด้านพื้นฐาน 3 งาน คือ การจัดเก็บ การค้นคืน และการลบ ข้อมูลในส่วนของการจัดเก็บจะเกี่ยวข้องกับการสร้างกุญแจของข้อมูลใหม่ และจัดเก็บข้อมูลนั้นในตำแหน่งพื้นที่ซึ่งมีความเหมาะสม
6. การก่อกำเนิดสารสนเทศประกอบด้วยกระบวนการแปลโปรแกรม การจัดข้อมูล การกำหนดรูปแบบ รวมทั้งการนำเสนอสารสนเทศต่อผู้ใช้ โดยสารสนเทศที่ได้มักอยู่ในรูปแบบของเอกสารปฏิบัติงาน
7. ผลป้อนกลับจะอยู่ในรูปแบบของรายงานที่เป็นผลลัพธ์ในฐานะต้นทางของข้อมูลภายในหรือภายนอกก็ได้ อาจถูกนำไปใช้ในฐานะข้อมูลเริ่มต้นหรือข้อมูลสำหรับการปรับเปลี่ยนกระบวนการ หากส่วนประกอบทั้ง 7 ส่วน มีการรวมตัวกันอย่างเหมาะสมจะสนองตอบวัตถุประสงค์ของระบบสารสนเทศได้ 3 ประการดังนี้
                ประการที่ 1 การสนับสนุนหน้าที่งานด้านการจัดการ
                ประการที่ 2 การสนับสนุนหน้าที่งานด้านการตัดสินใจ
                ประการที่ 3 การสนับสนุนหน้าที่งานด้านการปฏิบัติการ
บทบาทของระบบสารสนเทศ
1. โซ่คุณค่าบางตำราอาจเรียกว่าลูกโซ่มูลค่า ห่วงโซ่แห่งคุณค่า อาจเลือกใช้คำได้อย่างหลากหลาย
                Porter (as quoted in Stair & Reynolds, 2006, p.49) กล่าวไว้ว่า การดำเนินงานทางธุรกิจปัจจุบัน องค์การจะต้องนำเสนอคุณค่าแก่ลูกค้าขององค์การโดยการเพิ่มคุณค่าองสินค้าหรืบริการ ซึ่งพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าผ่านการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ภายใต้โซ่คุณค่าขององค์การเพื่อสร้างความพึงพอใจในการใช้สินค้าหรือบริการ
                โซ่คุณค่าประกอบด้วยกิจกรรมหลักของการจัดการต้นทาง การผลิต และการจัดการตามทาง ในส่วนของการผลิตสินค้าและบริการ โดยรวมกิจกรรมหลักทั้ง 3ส่วน มีการทำงานที่สัมพันธ์กันและมุ่งเน้นถึงการเพิ่มคุณค่าหรือความพึงพอใจให้กับลูกค้าในรูปแบบของราคาที่ต่ำ การบริการหลังการขายที่ดี คุณภาพที่สูง รวมทั้งความเป็นเอกลักษณ์ของสินค้าหรือบริการมีรายละเอียดดังนี้
                1.1 การจัดการต้นทาง จะเกี่ยวข้องกับการจัดการวัตถุดิบในส่วนของการจัดหาวัตถุดิบ การติดตามรอยวัตถุดิบในส่วนของโลจิสติกส์ขาเข้า รวมทั้งการจัดเก็บและควบคุมวัตถุดิบภายในโกดังสินค้าโดยใช้ระบบสารสนเทศด้านการจัดหาวัตถุดิบ การติดตามรอยวัตถุดิบ และการควบคุมวัตถุดิบคงเหลือ
                1.2 การผลิต การแปรสภาพวัตถุดิบให้เป็นสินค้าหรือบริการขั้นสุดท้าย มีการนำวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนการผลิตต่างๆ มาประกอบกันเป็นสินค้าสำเร็จรูป
                1.3 การจัดการตามทาง สำหรับการจัดการตามทิศทางการไหลของสินค้าสำเร็จรูปจนถึงปลายทางของการส่งมอบให้ลูกค้าที่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยเก็บสินค้าสำเร็จรูป โลจิสติกส์ขาเข้า การตลาดและการขาย ตลอดจนงานด้านการบริการลูกค้า มีการใช้ระบบสารสนเทศด้านหน่วยเก็บและค้นคืนสินค้าอัตโนมัติ ด้านวางแผนกระจายสินค้า ด้านวางแผนกรส่งเสริมการขาย รวมทั้งด้านการติดตามรอยและการควบคุมงานบริการลูกค้า
2. ระบบคุณค่า  จะเป็นการเชื่อมโยงกิจกรรมภายใต้โซ่คุณค่า ทั้งภายในและภายนอกองค์การ ภายใต้รูปแบบโซ่อุปทานโดยการใช้ระบบสารสนเทศเป็นเครื่องมือเชื่อมต่อโซ่คุณค่าขององค์การกับโซ่คุณค่าขององค์การภายนอก ซึ่งเป็นคู่ค้าเข้าด้วยกัน มักอาศัยการดำเนินการงานด้านการจัดการโซ่อุปทานการจัดการลูกค้าสัมพันธ์เข้าช่วย ทั้งมุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมายของการดำเนินกิจกรรมต่างๆ
3. การสนับสนุนงานขององค์การต่างๆ
                O brien (2006, p.8) กล่าวถึงบทบาทของระบบสรสนเทศในส่วนการใช้เพื่อสนับสนุนการทำงานขององค์การภายใต้โซ่คุณค่าและระบบคุณค่า 3 ลักษณะดังนี้
                3.1 การสนับสนุนกระบวนการทางธุรกิจ
                3.2 การสนับสนุนการตัดสินใจ
                3.3 การสนับสนุนความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน
4. การเพิ่มมูลค่าให้องค์การ
                ระยะที่ 1 การลดต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิผล ในระยะนี้องค์การได้มุ่งเน้นการนำสารสนเทศที่ได้รับจากระบบประยุกต์ด้านต่างๆ มาเป็นข้อมูลเพื่อพัฒนางานหรือปรับปรุงการทำงาน
                ระยะที่ 2 การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ระบบสารสนเทศถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่จะช่วยสร้างผลประโยชน์ในระยะยาวขององค์การที่เหนือกว่าคู่แข่งขัน ทั้งนี้ต้องอาศัยกลยุทธ์ทางธุรกิจมาช่วยเสริม
                ระยะที่ 3 การจัดการเชิงผลการปฏิบัติงานในระยะนี้นอกจากจะมุ่งเน้นการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการลดต้นทุน และการสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันแล้ว ยังมีการใช้สารสนเทศร่วมกับมาตรการวัดผลการปฏิบัติงานเพื่อสร้างตัวชี้วัดประสิทธิผล
วิวัฒนาการของระบบสารสนเทศ
                การใช้ระบบสารสนเทศในเริ่มแรกของธุรกิจจะเป็นการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อช่วยสนับสนุนการทำงานประจำที่ซ้ำๆ ภายใต้ธุรกรรมจำนวนมาก ของแต่ละวันทำการมีการใช้ระบบประยุกต์คอมพิวเตอร์ ในรูปแบบของระบบประมวลผลธุรกรรม เพื่อสรุปและจัดโครงสร้างธุรกรรม รวมทั้งข้อมูลทางการบัญชี การเงินและการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ที่ส่งผลให้องค์การมีต้นทุนการประมวลผลธุรกรรมต่อหน่วยลดลง อีกทั้งความสามารถในการปฏิบัติงานเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น
                ในเวลาต่อมาองค์การได้พัฒนาระบบสารสนเทศในรูปแบบของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ โดยมีการใช้ระบบเพื่อเข้าถึง จัดโครงสร้าง สรุปแสดงผลสารสนเทศที่มีส่วนช่วยในการสนับสนุนการตัดสินใจประจำวันภายใต้การทำงานของแผนกงานตามหน้าที่ ยังมีการพัฒนาระบบการสำนักงานอัตโนมัติ ประกอบด้วยระบบการประมวลผล นำมาใช้เพื่อสนับสนุนการทำงานในสำนักงาน
                ต่อมาได้มีการขยายขีดความสามารถของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ มีการลดต้นทุนของระบบคอมพิวเตอร์ มีการพัฒนาระบบประยุกต์ เพื่อสนับสนุนงานที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำในรูปแบบของระบบสนับสนุนการตัดสินใจ โดยมีการทำงานที่ซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นและมักใช้กับการตัดสินใจที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย นอกจากนี้ยังมีการขยายตัวของการตัดสินใจใน 2ทิศทางคือ
                ทิศทางที่ 1 การพัฒนาระบบสนับสนุนผู้บริหารและระบบสารสนเทศวิสาหกิจ
                ทิศทางที่ 2 การพัฒนาระบบสนับสนุนกลุ่มร่วมงาน
ในที่สุดธุรกิจเกิดความสนใจด้านการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ อย่างมีอัจฉริยะโดยมีการพัฒนาระบบประยุกต์เชิงพาณิชย์ที่รู้จักกันดีในนามของระบบอัจฉริยะ
นวัตกรรมที่วิวัฒนาการมาจากระบบสารสนเทศที่ใช้สนับสนุนงาน คือการพัฒนาโกดังข้อมูล เป็นฐานข้อมูลที่ถูกออกแบบเฉพาะด้านสำหรับการสนับสนุนการตัดสินใจ การสนับสนุนผู้บริหารและการวิเคราะห์อื่นๆ รวมทั้งกิจกรรมของผู้ใช้ขั้นปลาย การใช้โกดังข้อมูล ถือเป็นส่วนหนึ่งระบบสารสนเทศด้านอัจฉริยะธุรกิจ โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีประโยชน์ในปริมาณมากสำหรับข้อคำถามหรือการวิเคราะห์โดยใช้ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ระบบสนับสนุนผู้บริหาร (อีเอสเอส) และระบบอัจฉริยะภาพ (ไอเอส)
ระบบสารสนเทศที่ใช้สนับสนุนงานในองค์การล่าสุด คือ คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่ถูกนำมาใช้สนับสนุนการทำงานของลูกจ้างเคลื่อนที่เพื่อการติดต่อประสานงานกับลูกค้าและหุ้นส่วนธุรกิจที่เป็นองค์การภายนอกธุรกิจ
ในลำดับสุดท้ายมีการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการสนับสนุนงานภายนอกองค์การโดยใช้รูปแบบของระบบสารสนเทศบนเว็บรวมทั้งระบบเคลื่อนที่ โดยมีการพัฒนาระบบประยุกต์ผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ตและเปลี่ยนรูปแบบการค้าเข้าสู่รูปแบบของธุรกิจสู่ธุรกิจซึ่งอนาคตจะมีความเป็นไปได้ว่า องค์การขนาดกลางและระบบใหญ่จะใช้ระบบสารสนเทศบนเว็บ โดยมีการใช้โปรแกรมค้นดูเว็บ เพื่อการสื่อสารความร่วมมือและการเข้าถึงสารสนเทศจำนวนมาก รวมทั้งการดำเนินการและการประมวลผลด้วนวิธีการของระบบสารสนเทศบนเว็บ
สรุปได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบที่แตกต่างกันของระบบสนับสนุนด้านต่างๆมีดังนี้
1. แต่ละระบบมีลักษณะเฉพาะที่จำแนกได้เป็น 1 ระบบ
2. มีการเชื่อมต่อสายงานด้านสารสนเทศระหว่างระบบต่างๆ
3. ระบบสารสนเทศแต่ละระบบสามารถเชื่อมต่อกันภายใต้รูปแบบของระบบลูกผสม
4. เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี ความสัมพันธ์และการประสานงาน ระหว่างระบบสารสนเทศในรูปแบบที่ต่างกันโดยสามารถเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องและในอนาคต รูปแบบความสัมพันธ์อาจเปลี่ยนแปลงไปก็อาจเป็นได้
การจำแนกประเภทระบบสารสนเทศ
1. ระบบสารสนเทศตามหน้าที่งาน  เป็นการรองรับการทำงานของแผนกต่างๆ ซึ่งจำแนกความรับผิดชอบตามหน้าที่งานขององค์การ อาทิเช่น หน้าที่งานด้านการจัดการและการตัดสินใจ หน้าที่งานด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์
2. ระบบสารสนเทศวิสาหกิจ จะเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของแต่ละแผนกงาน ระบบสารสนเทศวิสาหกิจจะเกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่อระบบประยุกต์ของแต่ละหน้าที่งานเข้ากับระบบสารสนเทศวิสาหกิจ ซึ่งมักเรียกว่า การบูรณาการระบบสารสนเทศ อีกทั้งยังมีการใช้ระบบประยุกต์ด้านการวางแผนทรัพยากรองค์การเป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนงานด้านการวางแผนและการจัดการทรัพยากรทั้งหมดของวิสาหกิจ มีการใช้แบบจำลองรูปแบบใหม่ในส่วนของคอมพิวเตอร์วิสาหกิจ
                ศุภิสราพร สุธาทิพยะรัตน์จำแนกประเภทระบบสารสนเทศที่ใช้ภายในวิสาหกิจได้เป็น 2ประเภทคือ
                ประเภทที่ 1 ระบบสารสนเทศส่วนบุคคล คือ ระบบสารสนเทศที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพ และเพิ่มผลผลิตด้านการทำงานของบุคคลในองค์การมักอยู่ในรูปแบบของการประมวลผลส่วนบุคคล
                ประเภทที่ 2 ระบบสารสนเทศกลุ่มร่วมงาน คือ ระบบสารสนเทศซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพและเพิ่มผลผลิตด้านการทำงานของกลุ่มบุคคล โดยมีเป้าหมายการทำงานและการใช้ข้อมูลร่วมกัน มักจะอยู่ในรูปแบบการประมวลผลแบบกลุ่ม
                นอกจากนี้ Turban et al. (2006, p. 296) ได้ยกตัวอย่างของระบบสารสนเทศที่ใช้ร่วมกันภายในวิสาหกิจดังนี้
                1. ระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์การ ซึ่งช่วยสนับสนุนงานด้านการจัดการโซ่อุปทานภายในองค์การ และอาจจะมีระบบส่วนเพิ่มด้านการติดต่อประสานงานกับหุ้นส่วนธุรกิจด้วย
                2. ระบบสารสนเทศด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์
                3. ระบบสารสนเทศด้านการสนับสนุนการตัดสินใจ
                4. ระบบสารสนเทศด้านการจัดการความรู้
                5. ระบบสารสนเทศด้านอัจฉริยะภาพทางธุรกิจ
                6. ระบบสารสนเทศด้านอัจฉริยะอื่นๆ
3. ระบบสารสนเทศระหว่างองค์การ
                ปัจจุบันการใช้ระบบสารสนเทศไม่ได้จำกัดแค่ภายในองค์การเท่านั้นยังมีการเชื่อมต่อระบบสารสนเทศระหว่างสององค์การขึ้นไปเข้าด้วยกัน นิยมเรียกกันว่า ระบบสารสนเทศระหว่างองค์การหรือโอไอเอส อาจเรียกอีกอย่างว่า ระบบสารสนเทศครอบคลุมทั่วโลก เช่น ระบบการจองตั๋วของสายการบินทั่วโลกมีวัตถุประสงค์หลักด้านการเพิ่มประสิทธิภาพของการประมวลผลธุรกรรมดังนั้นการพัฒนาโอไอเอสจึงมุ่งตอบสนองแรงกดดันทางธุรกิจ 2 ประการดังนี้
                ประการที่ 1 ความปรารถนาด้านการลดต้นทุน รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพและความทันต่อเวลาภายใต้กระบวนการทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
                ประการที่ 2 ความต้องการเชื่อมต่อระบบสารสนเทศขององค์การกับระบบสารสนเทศของหุ้นส่วนธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ ดังนี้
                1. การลดต้นทุนธุรกรรมซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำ
                2. การเพิ่มคุณภาพและขจัดข้อผิดพลาดของสายงานด้านสารสนเทศ
                3. การลดช่วงเวลาของการทำคำสั่งซื้อของลูกค้าให้บรรลุผล
                4. การกำจัดกระบวนการที่ใช้กระดาษทั้งในส่วนของการทำงานที่ขาดประสิทธิภาพ ตลอดจนการลดต้นทุนกระดาษ
                5 การโอนย้ายและการประมวลผลสารสนเทศทำได้ง่ายขึ้น
                6. การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับลูกค้าและผู้จัดหา
                ในการติดตั้งใช้งานไอโอเอส จะต้องมีการสร้างเครือข่ายการสื่อสารโดยอาจเลือกใช้เครือข่ายส่วนตัว ในรูปแบบของเครือข่ายมูลค่าเพิ่ม หรือเครือข่ายสาธารณะในรูปแบบของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็ได้ โดยการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจของไอโอเอส มักปรากฏรูปแบบ 8รูปแบบดังนี้
                รูปแบบที่ 1 ระบบการค้าธุรกิจสู่ธุรกิจ
                รูปแบบที่ 2 ระบบสนับสนุนการค้าแบบธุรกิจสู่ธุรกิจ
                รูปแบบที่ 3 ระบบครอบคลุมทั่วโลก
                รูปแบบที่ 4 การโอนเงินอิเล็กทรอนิคส์
                รูปแบบที่ 5 กรุ๊ปแวร์
                รูปแบบที่ 6 การส่งสารแบบรวม
                รูปแบบที่ 7 ฐานข้อมูลใช้ร่วมกัน
                รูปแบบที่ 8 ระบบที่ใช้สนับสนุนบริษัทเสมือน
                ในส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศที่นำมาใช้สำหรับไอโอเอสจะประกอบด้วย 4 เทคโนโลยีหลัก คือ การสับเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิคส์ เอกซ์ทราเน็ต ภาษาเอกซ์เอ็มแอลและการบริการบนเว็บในส่วนการทำโอโอเอสให้เกิดผลจะมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยข้อมูลของระบบการค้าแบบธุรกิจสู่ธุรกิจเป็นสำคัญ จำแนกได้เป็น 2 ระบบคือ
                ระบบย่อยที่1 การจัดการหุ้นส่วนสัมพันธ์หรือพีอาร์เอ็ม โดยมุ่งเน้นในการรับรู้ถึงความต้องการด้านการพัฒนาความสัมพันธ์ระยะยาวกับหุ้นส่วนธุรกิจ
                ระบบย่อยที่ 2 การพาณิชย์แบบร่วมมือหรือ ซีคอมเมิร์ช คือ รูปแบบหนึ่งของการร่วมมือขององค์การกับหุ้นส่วนธุรกิจในส่วนนอกเหนือจากการทำธุรกรรมซื้อขายสินค้าและบริการ
ระบบสารสารเทศบนเว็บ
                1. ต้นทุนการติดตั้งใช้งานระบบสารสนเทศบนเว็บต่ำกว่าระบบรับให้บริการแบบเดิมดดยใช้เครือข่ายส่วนตัว
                2. การแปลงระบบที่มีอยู่เดิมเป็นระบบสารสนเทศบนเว็บทำได้ง่ายและรวดเร็ว
                3. ฟังก์ชันการทำงานของระบบสารสนเทศบนเว็บมีมากกว่าฟังก์ชันระบบเดิม
                Turban et al (2006, p. 71) ให้นิยามไว้ว่า ระบบสารสนเทศบนเว็บหมายถึง ระบบประยุกต์ซึ่งอาศัยอยู่บนเครื่องบริการหรือแม่ข่าย ในส่วนของการเข้าถึงข้อมูลอาจทำได้โดยใช้โปรแกรมค้นดูเว็บจากสถานที่ใดๆ ของโลกทางเว็บ ในการเชื่อมโยงด้านลูกข่ายกับระบบประยุกต์บนเว็บโดยใช้โพรโตคอมของอินเตอร์เน็ต มีลักษณะเฉพาะ 2ประการ คือ ประการที่ 1 คือ การสร้างเนื้อหาหรือข้อมูลจะถูกปรับให้เป็นปัจจุบันในทันที  ประการที่ 2 คือ การเข้าถึงข้อมูลบนเว็บด้วยวิธีการสากลที่อาศัยการสื่อสารหลัก คือ อินเตอร์เน็ต อินทราเน็ต และเอกซ์ทราเน็ตโดยมีรายละเอียดดังนี้
1.  อินเตอร์เน็ต  เรียกง่ายๆว่าเน็ต คือระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยผู้ใช้ที่อยู่ ณ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งๆ สามารถรับสารสนเทศจากคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้ หรือในบางครั้งก็อาจคุยโต้ตอบโดยตรงกับผู้ใช้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นผ่านทางอินเตอร์เน็ตซึ่งถือเป็นเครือข่ายสาธารณะที่ใช้งานร่วมกันของผู้ใช้งานหลายคน
                ในทางกายภาพ อินเตอร์เน็ต ถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรทั้งหมดของเครือข่ายโทรคมนาคมสาธารณะที่มีอยู่ปัจจุบัน ในทางเทคนิคสิ่งที่แบ่งแยกอินเตอร์เน็ตกับระบบเครือข่ายอื่นคือ การใช้ชุดโพรโทคอลทีซีพี/ไอพี
2. อินทราเน็ต  จะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับองค์การและอินเทอร์เน็ต ซึ่งอินทราเน็ต คือ การใช้เทคโนโลยีเว็บสำหรับการสร้างเครือข่ายส่วนตัว มักถูกจำกัดใช้งานเฉพาะภายในองค์การโดยใช้เครือข่ายเฉพาะที่หรือระบบแลน ร่วมกับโพรโทคอลทีซีพี/ไอพี เพื่อสร้างแบบฉบับของระบบแลนที่มีความสมบูรณ์ ในส่วนของการใช้เกตเวย์ด้านความมั่นคง
                อินทราเน็ตจะถูกใช้งานในหลากหลายหน้าที่ทางธุรกิจ สนับสนุนงานด้านการกระจายสารสนเทศที่หลากหลายรูปแบบภายในองค์การ สามารถใช้ปฏิบัติกิจกรรมของกลุ่มร่วมงานและการแบ่งโครงการที่ถูกกระจายอยู่ภายในองค์การ
3. เว็บศูนย์รวมวิสาหกิจ คือ เว็บไซต์ที่ติดตั้งเกตเวย์ เพื่อใช้ควบคุมการเข้าถึงสรสนเทศของบริษัทจากจุดเพียงจุดเดียว มีการรวมตัวกันจากสารสนเทศจากหลายๆ แฟ้มข้อมูลและส่งผ่านสารสนเทศไปยังผู้ใช้
4. เอกซ์ทราเน็ต  ถูกเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต มีการเสริมกลไลด้านความมั่นคงทางอินเทอร์เน็ตและฟังก์ชันงานเท่าที่เป็นไปได้ มีการสร้างรูปแบบเสมือนจริงซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้ทางไกลสามารถเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตกับอินทราเน็ตหลักขององค์การ ซอฟว์แวร์ที่ใช้เข้าถึงข้อมูลทางไกลจะมีการพิสูจน์ตัวจริงและข้อมูลจะถูกเข้ารหัสลับขณะที่มีการส่งผ่านผู้ใช้ทางไกลเข้าสู่อินทราเน็ตจะมุ่งเน้นในด้านการใช้สารสนเทศร่วมกันระหว่างสององค์การขึ้นไปตามสมัยนิยม
5. ระบบอีคอมเมิร์ชบนเว็บ  เกิดขึ้นภายใต้ระบบอิเลกทรอนิคส์ ในรูปแบบของธุรกิจสู่ธุรกิจ ธุรกิจสู่ผู้บริโภค ผู้บริโภคสู่ผู้บริโภค ธุรกิจสู่หน่วยสาธารณะส่วนใหญ่จะคิดว่าอีคอมเมิร์ชมีไว้สำหรับลุกค้าเข้าเยี่ยมชมเพื่อซื้อสินค้าออนไลน์ ภาพส่วนใหญ่ของอีคอมเมิร์ชซึ่งเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว คือ การประกอบธุรกรรมในรูปแบบธุรกิจสู่ธุรกิจ
                ผู้บริโภคซึ่งทำการซื้อสินค้าออนไลน์มักชื่นชมอีคอมเมิร์ชซึ่งใช้งานได้ง่ายและสามารถหลีกเลี่ยงฝูงชนภายในห้างสรรพสินค้า โดยทำการสั่งซื้ออนไลน์ ณ เวลาใดจากสถานที่ใดก็ได้ อีกทั้งมีการส่งมอบสินค้าถึงมือผู้รับโดยตรง การประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ชได้เพิ่มความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยลูกค้าบางรายจะสามารถสั่งซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตและได้รับสินค้าในวันเวลาที่ร้าค้าทั่วไปปิดทำการในส่วนกระบวนการทางธุรกิจอีคอมเมิร์ชต้องออกแบบใหม่ให้เป็นวิธีซื้อขายที่กระชับขึ้น
6. ตลาดอิเกทรอนิคส์  ได้มีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในฐานะตัวขับเคลื่อนด้านการประกอบธุรกิจทางอีคอมเมิร์ช ซึ่ง Turban et al (2006, p. 71) ให้นิยามไว้ว่า ตลาดอิเลกทรอนิคส์ คือ เครือข่ายการโต้ตอบและความสัมพันธ์ในการแลกเปลี่ยนสารสนเทศ ผลิตภัณฑ์และบริการ ตลอดจนการรับชำระเงิน เมื่อสถานที่ซื้อขายถูกเปลี่ยนรูปแบบจากอาคารทางกายภาพเป็นเว็บไซอิเลกทรอนิคส์
7. การแลกเปลี่ยนอิเลกทรอนิคส์ เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของตลาดอิเลกทรอนิคส์ คือ สถานที่ซื้อขายบนเว็บซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากมีการโต้ตอบกันแบบพลวัตและยังเป็นสถานที่ประกอบการค้าสำหรับโภคภัณฑ์ นับตั้งแต่นั้นมาการแลกเปลี่ยนที่หลากหลายรูปแบบสำหรับสินค้าและบริการทุกชนิด
8. คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่และการพาณิชย์เคลื่อนที่  คือ ตัวอย่างระบบเคลื่อนที่ออกแบบสำหรับลูกจ้างเคลื่อนที่และอื่นๆ ซึ่งผู้ใช้ระบบมักเกิดความต้องการด้านการเชื่อมต่อเข้ากับระบบสารสนเทศขององค์การในทันที

เอกสารอ้างอิง
ผศ. รุจิจันทร์  พิริยะสงวนพงศ์
                                                                                     ความรู้ด้านธุรกิจ
 
1. ธุรกิจ
Albright and Ingram ให้นิยามไว้ว่าธุรกิจ คือ องค์การหนึ่งซึ่งเสนอขายสินค้าหรือบริการต่อลูกค้าเป้าหมายของธุรกิจนั้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรหรือกาทำรายได้ให้กับองค์การ
ฉวีวรรณ โสภาจารีย์ ได้จำแนกรูปแบบของธุรกิจดังนี้
รูปแบบที่ 1 เจ้าของคนเดียว คือองค์การขนาดเล็กที่มีบุคคลเพียงคนเดียวเป็นเจ้าของ การจัดตั้งธุรกิจทำได้ง่าย โดยเจ้าของกิจการเป็นผู้ดำเนินงานเองและรับผิดชอบในหนี้สินของร้านโดยไม่จำกัดจำนวน
รูปแบบที่ 2 ห้างหุ้นส่วน คือ กิจการค้าที่มีบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเข้าร่วมลงทุนโดยมุ่งหวังผลกำไร จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1.             ห้างหุ้นส่วนสามัญ คือจะร่วมกันรับผิดชอบหนี้สินของห้างหุ้นส่วนอย่างไม่จำกัดจำนวนเงิน จะมีการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนหรือไม่ก็ได้
2.             ห้างหุ้นส่วนจำกัด คือห้างหุ้นส่วนที่ประกอบด้วยผู้เป็นหุ้นส่วน 2 ประเภทคือ ประเภทที่รับผิดชอบในหนี้สินอย่างไม่จำกัดจำนวน และประเภทที่รับผิดชอบในหนี้สินโดยจำกัดแค่จำนวนเงินที่นำมาลงทุนเท่านั้น
รูปแบบที่ 3 บริษัทจำกัด คือ กิจการที่ตั้งขึ้นในรูปแบบของนิติบุคคลด้วยการแบ่งเงินลงทุนออกเป็นงวด ๆ มี 2 ประเภท คือ บริษัทเอกชนและบริษัทมหาชน
รูปแบบที่ 4 รัฐวิสาหกิจ หรือห้างหุ้นส่วนที่มีทุนจดทะเบียนของรัฐเกิน50%
2. ประเภทของธรกิจ
ประเภทที่ 1 หน่วยบริการเป็นหน่วยธุรกิจที่นิยมอย่างสูงในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมทางธุรกิจที่เรียบง่ายไม่มีความซับซ้อนและมีจุดมุ่งหมายที่จะบริการลูกค้าและคิดค่าธรรมเนียมบริการเป็นการตอบแทน
ประเภทที่ 2 หน่วยค้าสินค้า หรือธุรกิจพาณิชยกรรมจะมีกิจกรรมทางธุรกิจที่ซับซ้อนมากกว่าหน่วยบริการ เป้าหมายของธุรกิจคือการมุ่งเน้นที่จะซื้อสินค้าในราคาต่ำ และขายสินค้าในราคาสูงเพื่อนำส่วนต่างของราคาขายและราคาซื้อต่อหนึ่งหน่วยสินค้ามาเป็นผลกำไรจากการขายและดำเนินงาน เช่น ร้านขายคอมพิวเตอร์ ห้างสรรพสินค้า
ประเภทที่ 3 หน่วยผลิตสินค้า หรือธุรกิจอุตสาหกรรมถือเป็นหน่วยธุรกิจที่มีความซับซ้อนของกิจกรรมทางธุรกิจสูงสุด โดยเป้าหมายของธุรกิจประเภทนี้คือการมุ่งเน้นที่จะผลิตสินค้าให้ได้คุณภาพในราคาต้นทุนที่ต่ำและขายสินค้าในราคาสูงเพื่อนำส่วนต่างของราคาขายและต้นทุนการผลิตต่อหนึ่งหน่วยสินค้ามาเป็นผลกำไรจากการผลิตและการขาย
3. การจัดตั้งและการดำเนินงานทางธุรกิจ
ในจุดเริ่มต้นของการดำเนินงานทางธุรกิจในรูปแบบต่าง ๆนั้นจะต้องนำเงินมาลงทุนร่วมกันเพื่อจัดตั้งหน่วยธุรกิจตามจุดประสงค์และรูปแบบการลงทุนของธุรกิจโดยอาจเรียกการจัดตั้งธุรกิจว่า การเสี่ยงลงทุนในส่วนกิจกรรมการดำเนินงาน คือการดำเนินงานต่าง ๆ ที่จำเป็นของธุรกิจเพื่อความอยู่รอดขององค์การ ดังนี้คือ
กิจกรรมที่ 1 การจัดหาวัตถุดิบ สินค้า หรือทรัพยากรอื่น ๆ เพื่อใช้ในการผลิตสินค้าหรือบริการโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
กิจกรรมที่ 2 การใช้ทรัพยากรเพื่อผลิตสินค้าหรือบริการนั้น ๆ
กิจกรรมที่ 3 การขายตลอดจนการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการจากลูกค้า
4. หน้าที่งานทางธุรกิจ
                หรือฟังก์ชันทางธุรกิจมักถูกใช้เพื่อแบ่งองค์การเข้าสู่พื้นที่รับผิดชอบภายใต้ภาระงาน การกำหนดพื้นที่ของแต่ละหน้าที่งานมักกำหนดตามการไหลของทรัพยากรจากหน้าที่หนึ่งเข้าสู่อีกหน้าที่หนึ่ง การจัดแบ่งหน้าที่งานจะแตกต่างกันไปตามประเภทของธุรกิจ ขนาดของธุรกิจ และสายผลิตภัณฑ์
5.การจัดโครงสร้างองค์การ
                การดำเนินการทางธุรกิจส่วนใหญ่จะดำเนินตามโครงสร้างองค์การของธุรกิจที่สะท้อนให้เห็นถึงอำนาจ หน้าที่และความรับผิดชอบของบุคลากรในองค์การ
ความรู้ด้านสารสนเทศ
1.ข้อมูล สารสนเทศ และความรู้โดยมีรายละเอียดดังนี้
                1.1 ข้อมูล คือ คำพรรณนาถึงสิ่งของ เหตุการณ์ กิจกรรมและธุรกรรมซึ่งถูกบันทึก จำแนกและจัดเก็บไว้ภายในแหล่งจัดเก็บข้อมูล แต่ยังไม่มีการจัดโครงสร้างเพื่อถ่ายโอนไปยังสถานที่เฉพาะเจาะจง อาจจะอยู่ในรูปแบบตัวอักษร ตัวเลข รูปภาพหรือเสียงก็ได้ และข้อมูลอาจถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบภายในฐานข้อมูลของระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการค้นข้อมูลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
                Hall (2004, p. 7) ได้จำแนกประเภทของธุรกิจออกเป็น 2 ส่วนดังนี้
ส่วนที่ 1 ธุรกรรมที่เป็นตัวเงิน คือ เหตุการณ์ทางเศรษฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินทรัพย์และส่วนของเจ้าของธุรกิจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นตัวเลขทางการบัญชีที่สามารถวัดมูลค่าเป็นตัวเงินได้
ส่วนที่ 2 ธุรกรรมที่ไม่เป็นตัวเงิน คือ เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบหรืออยู่ในความสนใจของธุรกิจ ข้อมูลส่วนนี้อยู่นอกเหนือจากนิยามของธุรกรรมที่เป็นตัวเงินและมักถูกนำมาประมวลผลโดยหน่วยประมวลผลภายใต้กระบวนการสารสนเทศ
                1.2 สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ถูกจัดโครงสร้างให้อยู่ในรูปแบบที่มีความหมายและมีมูลค่าต่อผู้รับ โดยมีการนำข้อมูลผ่านกระบวนการประมวลผลและจัดให้อยู่ในรูปแบบที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจได้ เช่นผลการเรียนเฉลี่ยของนักเรียน ในการแปลงสภาพข้อมูลให้กลายเป็นสารสนเทศจำต้องอาศัยกระบวนการประมวลผลที่เฉาพะเจาะจงและมักจะอยู่ภายใต้กระบวนการทำงานของระบบประยุกต์ ในการปรับเปลี่ยนข้อมูลให้เข้าสู่รูปแบบของสารสนเทศอาจใช้กระบวนการดังนี้
1. การจัดกลุ่มข้อมูล คือ การจำแนกประเภทของข้อมูลออกเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กัน
2. การจัดเรียงข้อมูล คือ การจัดเรียงลำดับข้อมูลโดยใช้เกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่ง
3.การสรุปผลข้อมูล คือ การคำนวณและสรุปยอดข้อมูลที่ต้องการ
4. การออกรายงาน คือ การจัดพิมพ์รายงานตามรูปแบบที่ผู้ใช้ต้องการซึ่งข้อมูลอาจผ่านการจัดกลุ่ม เรียงลำดับและสรุปผลข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
                1.3 ความรู้ ประกอบด้วยข้อมูลและสารสนเทศซึ่งถูกจัดโครงสร้างและประมวลผลเพื่อถ่ายโอนความเข้าใจ ประสบการณ์และการเรียนรู้ รวมทั้งความเชี่ยวชาญที่เก็บสะสมไว้ภายในฐานความรู้ซึ่งใช้แก้ปัญหาที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ
คุณลักษณะของสารสนเทศที่ดี
2.1ความตรงกับกรณี
2.2 ความทันต่อเวลา
2.3 ความถูกต้อง
2.4 ความครบถ้วนสมบูรณ์
2.5 การสรุปสาระสำคัญ
2.6 การตรวจสอบได้
3. มูลค่าของสารสนเทศ
                สารสนเทศมีความสำคัญต่อการอยู่รอดของธุรกิจและก่อให้เกิดมูลค่าของสารสนเทศโดยเฉพาะในกรณี ดังนี้
                กรณีที่ 1 การช่วยชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากฝ่ายบริหาร
                กรณีที่ 2 การช่วยลดความไม่แน่นอนโดยมีการนำเสนอสารสนเทศบนข้อมูลพื้นฐาน ซึ่งช่วยลดความไม่แน่นอนจากการตัดสินใจ ทำให้ผู้บริหารตัดสินใจเลือกทางเลือกต่าง ๆ อย่างถูกต้องแม่นยำขึ้น
                กรณีที่ 3 การให้ผลป้อนกลับ โดยการนำสารสนเทศที่ได้รับมาใช้ปรับปรุงการตัดสินใจในครั้งต่อไปและยังจัดเก็บสารสนเทศที่เป็นผลมาจากการตัดสินใจครั้งก่อนไว้เพื่อเป็นผลป้อนกลับ
4. ข้อจำกัดของการใช้สารสนเทศสามารถจำแนกออกเป็น 2 ประการ คือ
ประการที่ 1 การเกิดภาวะของสารสนเทศที่มากเกินความจำเป็น
ประการที่ 2 มาตรการวัดผลการดำเนินงานที่ไม่เหมาะสม
เทคโนโลยีสารสนเทศ
1. ความหมายและส่วนประกอบ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้นิยามไว้ว่า เทคโนโลยี หมายถึง วิทยาการที่นำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฎิบัติและอุตสาหกรรม
Turban et (2006 , p. 21) ได้ให้นิยามไว้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง ชุดของระบบคอมพิวเตอร์ที่นำมาใช้ภายในองค์การหรืออีกนัยหนึ่ง คือเทคโนโลยีพื้นฐานของระบบสารสนเทศที่ประกอบด้วยฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ เครือข่ายและโทรคมนาคม รวมทั้งอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์อื่น ๆ โดยถูกนำมาใช้เพื่อจุดประสงค์ด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและสารสนเทศ สามารถกำหนดโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศดังนี้
1. ฮาร์ดแวร์(Hardware) คือชุดของอุปกรณ์เช่น จอมอนิเตอร์ (Monitor) หน่วยประมวลผล (Processor)แผงแป้นอักขระ (Keybord) และเครื่องพิมพ์ (Printer) ที่ถูกนำมาใช้ร่วมกันเพื่อการรับเข้าข้อมูลและสารสนเทศ การประมวลผล และการส่งผลลัพธ์ออกทางจอมอนิเตอร์หรือเครื่องพิมพ์
2. ซอฟแวร์ (Software) คือ ชุดคำสั่งสำหรับการประมวลผลของฮาร์ดแวร์
3. ฐานข้อมูล (Databass) คือ ชุดของแฟ้มข้อมูลและตารางความสัมพันธ์ที่ใช้จัดเก็บข้อมูลซึ่งมีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กัน
4. เครือข่ายและโทรคมนาคม (Network & Telecommunication) คือ ชุดของอุปกรณ์เชื่อมต่อระบบที่มีการใช้ทรัพยากรสารสนเทศร่วมกันโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต่างกัน
5. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ (Electronic Devices) คือ อุปกรณ์วงจรไฟฟ้าบนเครือข่ายทั้งในรูปแบบใช้สายและไร้สายถูกนำมาใช้ร่วมส่วนประกอบข้างต้นเพื่อแลกเปลี่ยนระบบข้อมูลสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผล
2. บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ
                คาร์(Car , 2549) ได้วิเคราะห์ถึงบทบาทเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งสรุปได้เป็น 3ระยะดังนี้
ระยะที่1 องค์การมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับจัดการงานประจำวันที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ทุกวันทำการเพื่อสร้างระบบอัตโนมัติงานต่างๆ เช่น ระบบอัตโนมัติด้านการผลิตและการบัญชี เป็นต้น
ระยะที่ 2 องค์การมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในฐานะของเทคโนโลยีที่มีกรรมสิทธิ์เพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งขัน โดยมีการลงทุนในส่วนของเทคโนโลยีสารสนเทศจำนวนมากและพยายามรักษาความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีไว้
ระยะที่ 3 องค์การมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในฐานะเทคโนโลยีที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานมีการใช้งานร่วมกันระหว่างองค์การบนพื้นฐานของระบบเครือข่าย
                จากการเปลี่ยนบทบาทด้านการใช้เทคโนยีสารสนเทศทางธุรกิจทั้ง 3 ระยะ สามารถวิเคราะห์ถึงนี้
ผลประโยชน์ที่องค์การควรจะได้รับจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศดังนี้
1. เป็นการสร้างองค์การแห่งการเรียนรู้โดยบุคลากรสามารถเรียนรู้การใช้ชุดคำสั่งของระบบประยุกต์ เพื่อการปฏิบัติงานที่เกิดผลประโยชน์อย่างต่อเนื่อง
2. เป็นการสร้างความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน การจัดการ และการตัดสินใจ ตลอดจนมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์
3. เป็นการสร้างและธำรงรักษาความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
4. เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับองค์การทั้งในทางตรงและในทางอ้อม
5. เป็นการค่าใช้จ่ายในด้านแรงงานและลดการใช้ทรัพยากรที่ซ้ำซ้อนลง
6. เป็นการเพิ่มคุณภาพของสินค้าหรือบริการเพื่อให้ได้มาตรฐานที่กำหนดไว้
7. เป็นการสร้างความแตกต่างให้กับองค์การ สำหรับองค์การที่มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและองค์การที่ไม่มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสายตาของผู้บริโภค



การใช้สารสนเทศในองค์การธุรกิจ
1. กระบวนการทางธุรกิจ จำเป็นต้องมีการดำเนินงานตามกระบวนการทางธุรกิจถือเป็นระบบการทำงานที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อให้หน่วยธุรกิจมีการปฏิบัติงานตามรูปแบบมาตรฐาน ทั้งมีการประสานงานกันอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
                Laudon and Laudon (2005, p.7) ให้นิยามไว้ว่า กระบวนการทางธุรกิจคือ วิธีการทำงานที่มีลักษณะเฉพาะของการจัดระบบงานและการประสานงานทางธุรกิจ โดยมุ่งเน้นการผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสำหรับการส่งมอบให้ลูกค้า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การทำคำสั่งซื้อของลูกค้าให้บรรลุผลตลอดจนการว่าจ้างแรงงาน ทั้งหมดถือเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทางธุรกิจ หากองค์การประสบความสำเร็จด้านการจัดกระบวนการธุรกิจที่ดีแล้วถือเป็นจุดแข็งขององค์การในการแข่งขันกับธุรกิจอื่นภายใต้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจเดียวกัน
                Gelinas, Sutton , and Fedorowcz (2004 , p. 12) ระบุว่ากระบวนการทางธุรกิจ คือ การรวมตัวของ 3 ส่วนประกอบคือ กระบวนการปฏิบัติการ กระบวนการจัดการ และกระบวนการสารสนเทศ มีรายละเอียดดังนี้
                1.1 กระบวนการปฏิบัติการ คือ ระบบการทำงานประกอบด้วย บุคคล อุปกรณ์ องค์การนโยบาย และกระบวนการงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อการทำงานขององค์การให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี มีการปฏิบัติงานด้านต่างๆ เช่น การผลิต
                1.2 กระบวนการจัดการ คือ ระบบการทำงานซึ่งประกอบด้วย บุคคล อำนาจหน้าที่ องค์การนโยบาย และกระบวนการงาน มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อการวางแผนและควบคุมการปฏิบัติงานภายในองค์การ
                1.3 กระบวนการสารสนเทศ หรือกระบวนการทางธุรกิจของระบบสารสนเทศ คือ ระบบที่ประกอบด้วยการรวมตัวกันของชุดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ทั้งด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์ และส่วนประกอบที่สร้างขึ้นด้วยมือ เพื่อรวบรวมจัดเก็บ และจัดการข้อมูล รวมทั้งการนำเสนอสารสนเทศที่เป็นผลลัพธ์ให้แก่ผู้ใช้สารสนเทศ
2. แนวทางการใช้สารสนเทศทางธุรกิจ
                2.1 ระดับปฏิบัติการ เปรียบเสมือนกระจกเงาที่คอยสอดส่องดูแลงานด้านต่าง ๆ
                2.2 ระดับบริหาร จะเป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนกิจกรรมด้านการจัดการ ตลอดจนการตัดสินใจด้านทางธุรกิจที่ผู้จัดการหรือผู้บริหารนิยมใช้ประโยชน์จากสารสนเทศทางธุรกิจ ดังนี้
                วิธีที่ 1 ใช้ติดตามการปฏิบัติงานในปัจจุบัน
                วิธที่ 2 ใช้สร้างความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัท
3. สายงานด้านสารสนเทศ
                3.1 สายงานด้านสารสนเทศในแนวดิ่ง คือสายงานที่เกิดจากระดับชั้นของการบริหารงานในองค์การจำแนกได้ 2 ประเภทคือ
                3.1.1 การรายงานผลการปฏิบัติงาน ในทุกวันทำการถือเป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงานจะทำการรายงสนผลการปฏิบัติงานต่อผู้จัดการหรือผู้บริหารระดับสูง จึงเกิดการไหลขึ้นของสายงานด้านสารสนเทศ
                3.1.2 การงบประมาณและการสั่งการ ถือเป็นหน้าที่ของผู้บริหารระดับสูงที่จะทำการด้านการวางแผนด้านงบประมาณและออกคำสั่งการปฏิบัติการในเรื่องต่างๆ รวมทั้งการนำส่งสารสนเทศต่อผู้จัดการหรือผู้ปฏิบัติการในทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย
                3.2 สายงานด้านสารสนเทศในแนวนอน คือ สายงานที่เกิดขึ้นจากการกระจายสารสนเทศไปยังส่วนงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จำแนกได้ 2 ประเภทคือ
                3.2.1 การกระจายสารสนเทศภายในองค์การ จะมีการนำส่งสารสนเทศภายใต้ระดับปฏิบัติการ จากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งที่อยู่ภายในองค์การเดียวกัน
                3.2.2 การกระจายสารสนเทศไปยังองค์การภายนอก เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลและสารสนเทศกับองค์การภายนอก 2 กลุ่มดังนี้
                                กลุ่มที่ 1 หุ้นส่วนธุรกิจ คือ ลูกค้า ผู้จัดหา และผู้ให้บริการต่างๆ
                                กลุ่มที่ 2 ผู้มีส่วนได้เสีย คือ บุคคลภายนอกองค์การที่มุ่งความสนใจในตัวองค์การ


สารสนเทศทางธุรกิจยุคโลกาภิวัตน์
                Turban et al.  (2006, p.3) ได้ยกกรณีตัวอย่างบริษัท ซีเมนส์ เอซี จำกัด ซึ่งก่อตั้งขึ้นในช่วงเศรษฐกิจยุคเก่าได้เล็งเห็นถึงความต้องการในการปรับปรุงรูปแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อเข้าสู่ธุรกิจอิเล็กทรอนิคส์ และพยายามใช้ระบบอิเล็กทรอนิคส์ในทุกๆ หน้าที่งานทางธุรกิจ เพื่อขยายขีดความสามารถด้านการดำเนินงานและการแข่งขันเชิงธุรกิจ โดยมีการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศบนเว็บด้านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิคส์ หรืออีคอมเมิร์ช เพื่อช่วยสนับสนุนงานด้านการซื้อ การขาย ตลอดจนการบริการลูกค้า โดยทำธุรกรรมในระบบอิเล็กทรอนิคส์ผ่านทางอินเตอร์เน็ตและเครือข่ายอื่นๆ ซึ่งในส่วนนี้จะกล่าวถึง 5 หัวข้อย่อยคือ
1.  ระบบเศรษฐกิจ    มักจะเรียกอีกอย่างว่าเศรษฐกิจยุคดิจิทัลซึ่ง Turban et al.  (2006, p.4) ให้คำจำกัดไว้ว่า เศรษฐกิจยุคดิจิทัลหมายถึง เศรษฐกิจหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล หรือในอีกความหมายหนึ่งของเศรษฐกิจยุคดิจิทัล คือ ภาวะที่บรรจบเข้าหากันระหว่างเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีการสื่อสารบนอินเตอร์เน็ตตลอดจนเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบอื่น ส่งผลให้เกิดสายงานด้านสารสนเทศและนวัตกรรมด้านอีคอมเมิร์ช รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
                ในบางครั้งนิยมเรียกเศรษฐกิจยุคดิจิทัลว่า เศรษฐกิจยุคใหม่ เศรษฐกิจยุคอินเตอร์เน็ต หรือเศรษฐกิจยุคเว็บ โดยมีการนำเสนอสารสนเทศบนแพลตฟอร์มทั่วโลกซึ่งบุคลากรและองค์การได้คิดค้นกลยุทธ์ทั้งด้านการโต้ตอบ การสื่อสาร การร่วมมือและการสืบค้นสารสนเทศ
2. การจัดองค์การ   จะปรากฏการณ์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า องค์การดิจิทัล ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่าองค์การดิจิทัล คือองค์การที่มีการทำงานในหลากหลายมิติโดยอาศัยความสามารถด้านดิจิทัลและสื่อดิจิทัล จัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางธุรกิจ โดยเฉพาะส่วนที่ติดต่อกับลูกค้ามักมีการรับรู้และตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้รวดเร็วกว่าองค์การรูปแบบอื่นตลอดจนความสามารถด้านการปรับตัวให้มีความอยู่รอดทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี
3. แบบจำลอง   คือ วิธีการดำเนินธุรกิจที่ส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างรายได้เพื่อค้ำจุนองค์การให้อยู่รอด
4. เครือข่ายคอมพิวเตอร์   ถือเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีสารสนเทศ คือโครงสร้างพื้นฐานของอีคอมเมิร์ช อยู่ในรูปแบบของคอมพิวเตอร์แบบกระจายโดยมีการเชื่อมต่อของระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่องกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์อื่น
5. โอกาสของผู้ประกอบการ    Turban et al.  (2006, p.17) ได้กำหนดวิธีโต้ตอบหลักขององค์การไว้ 7 วิธี คือ
5.1 การจัดการเชิงกลยุทธ์   ถือเป็นกิจกรรมด้านการตอบโต้ที่สำคัญโดยทำการพัฒนากลยุทธ์ของบริษัทเพื่อจัดการกับแรงกดดันทางธุรกิจทั้งหลาย รวมถึงการใช้ความสนับสนุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
5.2 จุดศูนย์รวมลูกค้า   เป็นวิธีการหนึ่งที่องค์การพยามที่จะบริการลูกค้าอย่างดีเยี่ยมด้วยการสร้างข้อแตกต่างด้านผลิตภัณฑ์ในส่วนความดึงดูดใจ อีกทั้งการธำรงรักษาลูกค้าด้วยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นกลไกที่ทันสมัยสำหรับการทำให้ลูกค้ามีความสุข
5.3 การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องหลายๆบริษัทได้ดำเนินการตามโปรแกรมเพิ่มผลผลิตและปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ด้วยการใช้เทคโนโลยีสนับสนุน
5.4 การปรับกระบวนการทางธุรกิจองค์การอาจพบว่าความพยายามด้านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องมีประสิทธิผลที่จำกัด ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีแรงกดดันทางธุรกิจสูง ดังนั้นจึงมักเกิดความต้องการแนวโน้มใหม่ด้านการรื้อปรับกระบวนการทางธุรกิจ
Turban et al.  (2005, p.23)  กล่าวถึงการปรับกระบวนการทางธุรกิจของบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง โดยการนำวิธีการทางดิจิทัลมาใช้สร้างรูปแบบของกระแสงานอิเล็กทรอนิคส์ของระบบการประมวลภาพ ซึ่งทดแทนการทำงานด้วยมือของระบบการจัดเก็บเอกสารที่เป็นกระดาษ ช่วยลดเวลาของการดำเนินการจาก 33วันทำการเหลือ 5    วันทำการเท่านั้นนอกจากนี้ยังส่งผลการลดต้นทุนดำเนินการและการปรับปรุงบริการลูกค้าให้ดีขึ้นด้วย
5.5 นวัตกรรมด้านการผลิตตามคำสั่งและการผลิตแบบสั่งทำในปริมาณมาก คือ แนวโมนวัตกรรมด้านการผลิตสินค้ารวมทั้งบริการแบบสั่งทำโดยมีข้อกำหนดเฉพาะที่ได้จากลูกค้าและใช้กลยุทธ์การผลิตตามคำสั่ง ในขณะที่ลูกค้ามีความต้องการสินค้าหรือบริการ
5.6 ธุรกิจอิเล็กทรอนิคส์และอีคอมเมิร์ช
                Drucker (as quoted in Turban et al., 2006, p. 19) กล่าวถึงอีคอมเมิร์ชไว้ว่าถือเป็นการปฏิวัติที่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างแท้จริงของอินเตอร์เน็ตเพิ่งอยู่ในระยะเริ่มต้นที่น่าจับตามองต่อไปซึ่งนอกจากจะส่งผลให้องค์การได้รับสารสนเทศที่ดีแล้ว อาจส่งผลต่อการประมวลผลข้อมูลเพื่อการตัดสินใจรวมทั้งในการกำหนดนโยบายหรือกลยุทธ์ขององค์การ
5.7 พันธมิตรทางธุรกิจ
1.               Turban et al.  (2006, p.19) ได้ให้ตัวอย่างของพันธมิตรทางธุรกิจ คือ บริษัทเจเนอรัลมอเตอร์จำกัด และบริษัท ฟอร์ด จำกัด  ได้ร่วมกันสร้างรูปแบบการค้าเพื่อที่จะสำรวจระบบประยุกต์ด้านอีคอมเมิร์ช ซึ่งรูปแบบของพันธมิตรทางธุรกิจที่เป็นไปได้ในลักษณะของการแบ่งปันทรัพยากร การปฏิบัติการจัดหาโดยร่วมมือกัน การสร้างความพยายามด้านการวิจัยร่วมกัน รวมทั้งการสร้างสัมพันธภาพอย่างถาวรระหว่างบริษัทและผู้ขายโดยที่รูปแบบต่างๆ เหล่านี้จะอยู่ภายใต้แรงกดดันทางธุรกิจ ทั้งยังสามารถให้การสนับสนุนได้ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ



เอกสารอ้างอิง
รุจิจันทร์ พิริยะสงวนพงค์ . สารสนเทศทางธุรกิจ.บริษัท วี พริ้น 1991 จำกัด.

แบบฝึกหัดบทที่1

แบบฝึกหัดบทที่ 1
1. จงเปรียบเทียบข้อแตกต่างของข้อมูลและสารสนเทศมาพอเข้าใจ
         ตอบ   ข้อมูลคือ เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นประจำวันในการดำเนินธุรกิจ เช่น การสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้า เป็นต้น ข้อมูลอาจเป็นได้หลายชนิด เช่น ตัวเลข รูปภาพ รูปถ่าย หรือแม้กระทั่งเสียง
                      สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการเก็บรวบรวมและเรียบเรียงเพื่อเป็นแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้
2. การจัดแบ่งหน้าที่งานทางธุรกิจมีความสัมพันธ์กับโครงสร้างองค์การอย่างไร
          ตอบ  การดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่จำดำเนินตามโครงสร้างองค์การของธุรกิจที่สะท้อนให้เห็นถึงอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคคลากรในองค์การโดยมีการปฏิบัติตามกิจกรรมการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานที่มีส่วนช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ เพื่อให้เข้าใจรูปแบบของการจำแนกความแตกต่างของภาระงาน อำนาจหน้าที่รวมทั้งการรายงานภาระรับผิดชอบการจัดแบ่งหน้าที่งานทางธุรกิจจึงมีความสัมพันธ์จึงก่อให้เกิดโครงสร้างองค์การ
3. การลงทุนเพื่อจัดตั้งธุรกิจใหม่จะต้องดำเนินตามขั้นตอนอย่างไร
         ตอบ  กิจกรรมที่ 1 การจัดหาวัตถุดิบสินค้าหรือทรัพยากรอื่นๆ เพื่อใช้ในการผลิตสินค้าหรือบริการโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
                   กิจกรรมที่ 2 การใช้ทรัพยากรเพื่อผลิตสินค้าหรือบริการนั้นๆ
                   กิจกรรมที่ 3 การขายตลอดจนการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการต่อลูกค้า
                สรุปได้ว่าธุรกิจจะต้องมีการจัดตั้งและนำเงินมาลงทุนหรืออาจกู้ยืมเงินมาใช้สำหรับการจัดหาทรัพยากรทางธุรกิจซึ่งไว้สำหรับกิจกรรมการดำเนินงานทั้ง 3 กิจกรรมข้างต้น
4. จงเปรียบเทียบการประยุกต์ใช้ข้อมูลของระดับปฏิบัติการและระดับบริหาร
          ตอบ  ระดับปฏิบัติการ คือ การใช้ข้อมูลของธุรกิจภายใต้ระดับปฏิบัติการเปรียบเสมือนกระจกเงาที่คอยสอดส่องดูแลงานด้านต่างๆ เช่น การประมวลผลการบันทึกและการรายงานเหตุการณ์ทางธุรกิจ
                ระดับบริหาร คือ กระบวนการสารสนเทศจะเป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนกิจกรรมด้านการจัดการตลอดจนการตัดสินใจทางธุรกิจโดยสามารถจำแนกวิธีการที่ผู้จัดการหรือผู้บริหารนิยมใช้ประโยชน์จากสารสนเทศทางธุรกิจดังนี้
                วิธีที่ 1 ให้ติดตามการปฏิบัติงานในปัจจุบัน
                วิธีที่ 2 ใช้สร้างความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัท
5. ผู้บริหารของบริษัทได้รับทราบงบการเงินในช่วงเวลาที่ต้องการตัดสินใจแต่ข้อมูลในงบการเงินนั้นมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยจะมีผลต่อมูลค่าของสารสเทศที่ผู้บริหารได้รับคือ
          ตอบ สารสนเทศจัดเป็นทรัพยากรที่สำคัญของธุรกิจแต่ถ้าหากข้อมูลงบการเงินนั้นมีข้อผิดพลาดไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็จะมีผลต่อมูลค่าของสารสนเทศคือ การวิเคราะห์ถึงสถานการณ์การช่วยลดความไม่แน่นอนในการตัดสินใจและส่งผลต่อการกำหนดนโยบายสินเชื่อในอนาคตทำให้เกิดมูลค่าของสารสนเทศที่จัดได้อยู่ในระดับต่ำยังมีความสำคัญต่อการอยู่รอดของธุรกิจ
6. กรณีที่ผู้บริหารในระดับควบคุมปฏิบัติการได้รับสารสนเทศที่มีรายละเอียดไม่พอต่อการตัดสินใจอาจก่อให้เกิดผลกระทบคือ
          ตอบ ในระดับปฏิบัติการต้องดูแลงานด้านต่างๆเช่น การประมวลผล การบันทึกและการรายงานเหตุการณทางธรกิจและทำให้เกิดการลังเลใจในการตัดสินใจแล้วเกิดการล่าช้าในการตัดสินใจอาจก่อให้เกิดการเสียโอกาสและอาจทำให้เสียลูกค้า
7. การสั่งการของผู้บริหารระดับสูงในเรื่องนโยบายเงินปันผลต่อผู้บริหารระดับกลางให้ควบคุมการจ่ายเงินปันผลแก่พนักงานทุกคนคือเป็นสายงานด้านสารสนเทศในลักษณะใด
          ตอบ เป็นสายงานด้านสารสนเทศในแนวนอนซึ่งอยู่ในกลุ่มที่ 2 คือกลุ่มผู้ที่ส่วนได้เสีย
8. จงยกตัวอย่างโครงสร้างกระบวนการทางธุรกิจของบริษัทบริการโทรศัพท์มือถือ
          ตอบ  โครงสร้างกระบวนการธุรกิจมือถือมีรายละเอียดดังนี้
                1. กระบวนการปฏิบัติการ
                2. กระบวนการจัดการ
                3. กระบวนการสารสนเทศ
9. องค์การดิจิทัลมีความแตกต่างกับองค์การธุรกิจทั่วไปอย่างไร
         ตอบ องค์การดิจิทัลจะเป็นการทำงานที่หลากหลายมิติโดยอาศัยความสามารถของดิจิทัลซึ่งแตกต่างกับองค์การ
                  ธุรกิจทั่วไปคือ องค์การธุรกิจทั่วไปจะอาศัยเพียงแต่คนเข้ามาทำงานและทำงานได้ช้ากว่าองค์การดิจิทัลความถูกต้องแม่นยำก็มีน้อยกว่า
10. องค์การควนดำเนินการอย่างไรเพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งขันทางธุรกิจ
        ตอบ  ต้องมีการกำหนดวิธีโต้ตอบหลัก 7 วิธี
                1. การจัดการเชิงกลยุทธ์
                2. จุดศูนย์รวมลูกค้า
                3. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
                4. การปรับกระบวนการทางดุลการค้า
                5. นวัตกรรมด้านการผลิต
                6. ธุรกิจอิเลกทรอนิคส์และอีคอมเมิร์ช
                7. พันธมิตรทางธุรกิจ